หลังจากที่ได้ชื่นชมความงามของโบราณสถานในเมืองเสียมราฐกันไปแล้ว
ในบล็อกนี้ผู้เขียนอยากพานักอ่านทุกท่านไปสัมผัสกับโบราณสถานภาคพื้นสมุทรในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา
ที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลก นั่นก็คือโบโรบูดูร์หรือบุโรพุทโธนั่นเอง ซึ่งผู้เขียนยังไม่ได้มีโอกาสไปสัมผัสให้เห็นด้วยตาตัวเอง
แต่มีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปเยี่ยมชมสักครั้ง จึงได้รวบรวมข้อมูลของสถานที่แห่งนี้มาแบ่งปันให้กับนักอ่านทุกท่าน
โบโรบูดูร์ หรือ บุโรพุทโธ ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของเกาะชวา หรือเมืองมาเกอลัง
ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน
นับว่าโบโรบูดูร์นี้เป็นสถาปัตยกรรมโบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดทางพุทธศาสนา
จนในปี พ.ศ. 2534 โบโรบูดูร์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก
โบโรบูดูร์ถูกค้นพบโดยกองทัพอังกฤษที่เข้าไปสำรวจในชวากลางที่เชื่อกันว่ามีโบราณสถานตั้งอยู่
เมื่อพบก็เจอร่องรอยการพังทลายจากน้ำที่กัดเซาะลงไปด้านล่างจนเกือบทำให้มหาเจดีย์นี้พังทลาย
จนคณะนักโบราณคดีชาวฮอลันดาเริ่มบูรณะขึ้นเกือบสมบูรณ์ ในประวัติ โบโรบูดูร์นั้นสร้างขึ้นในพุทธศาสนานิกายมหายาน
โดยราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย เป็นศิลปะแบบฮินดูชวาผสมอินเดียเข้าด้วยกัน
สร้างจากหินภูเขาไฟที่ครอบลงบนเนินเขาธรรมชาติซึ่งหาได้ง่ายในพื้นที่แถบนั้น
ที่มา : https://www.thairath.co.th/media/NjpUs24nCQKx5e1GxVIdHHWNNGPAhUr3N9pjuJpJUU2.webp |
ซึ่งจุดที่น่าสนใจคงจะเป็นสถูปเล็กๆที่มีพระพุทธรูปบรรจุไว้จำนวนมาก
เมื่อนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม มัคคุเทศน์ก็จะเชิญให้เอามือลอดลูกกรงไปจับต้องพระหัตถ์ของพระพุทธรูปที่อยู่ด้านใน
จากนั้นมัคคุเทศน์ก็ท่องบทสวดมนต์ให้ฟัง
ที่มา : https://holidayfc.com/wp-content/uploads |
สำหรับนักอ่านท่านใด ที่อยากลองไปเยี่ยมชมความงามของโบราณสถานแห่งนี้ ค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ผู้ใหญ่ 125,000 รูเปียห์ (~273 บาท) เด็ก 50,000 รูเปียห์ (~110
บาท)
เปิดให้เข้าชมทุกวัน จันทร์-อาทิตย์ เวลา 06:00
น. - 17:00 น.
โบราณสถานแห่งนี้นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญทางศาสนาพุทธในประเทศอินโดนีเซียที่ประชากรกว่า90%เป็นชาวอิสลามแล้ว
ยังได้เห็นศิลปะในยุคนั้นที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนเกิดเป็นความงามที่ทรงคุณค่าให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
ซึ่งถ้ามีโอกาสผู้เขียนเองก็อยากจะไปเยี่ยมชมสักครั้งในชีวิต
เอกสารอ้างอิง
พระมหาปรีชา เขมนนฺโท อนุวัต กระสังข์. (2560).
ความศรัทธา : มหาสถูปบุโรพุทโธสู่ความยั่งยืนพุทธศาสนา. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, 19(2), 159-172.
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำารงราชานุภาพ.
(2518). ตำนานพุทธเจดีย์. พิมพ์ครั้ง
ที่ 3. กรุงเทพฯ : คุรุสภา.
เอลชา ไชนุดิน, เพ็ชรีสุมิตร.
(2552). ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย. พิมพ์ครั้งที่ 2. สมุทรปราการ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย.
Comments
Post a Comment